"ปากเหม็น กลิ่นปากแรง" จัดเป็นปัญหาใหญ่มาก เคยคุยกับคนปากเหม็นใกล้ๆกันหรือเปล่า ถ้าเคยก็จะเข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดา แล้วเราแน่ใจได้อย่างไรว่าปากเราไม่ได้เหม็น มันไม่เหม็นจริง หรือไม่มีใครกล้าบอก การลองพิสูจน์กลิ่นปากด้วยตัวเองไม่สามารถบ่งบอกอะไรได้ เพราะเราจะชินกับกลิ่นปากของตัวเองเลยไม่รู้ว่ามันเหม็น ต้องให้บุคคลที่ 3 พิสูจน์ให้ถึงจะรู้ความจริง ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับสาเหตุที่ทำให้เราปากเหม็น มีกลิ่นปากแรงซะก่อน จากนั้นเราจะไปดูวิธีแก้ปัญหากัน ว่ามีวิธีอะไรน่าสนใจบ้าง
สาเหตุที่ทำให้ปากเหม็น
- ฟันผุ เหงือกอักเสบ มีหินปูนเกาะที่ฟัน
- เป็นโรคกรดไหลย้อน
- ท้องผูกเป็นประจำ ไม่ได้ระบายของเสียออกจากร่างกาย
- กินอาหารที่มีกลิ่นแรง โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำมันหอมระเหยเป็นส่วนประกอบ เช่น หัวหอม กระเทียม ใบกุ้ยช่าย ต้นหอม
- กินของหวาน น้ำหวาน ชา กาแฟบ่อยๆ
- มีแบคทีเรียสะสมอยู่ที่ซอกฟันหรือตามลิ้นมาก
- ลิ้นเป็นฝ้า
- เป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบ
- เป็นโรคภูมิแพ้น้ำเมือกที่ไหลลงคอ
- มีเม็ดหินปูนที่ต่อมทอนซิล
- ทำความสะอาดฟันไม่ดี แปรงฟันไม่ถูกต้อง
วิธีแก้อาการปากเหม็น
1. แปรงฟันให้ถูกวิธี ใช้ยาสีฟันที่เหมาะสม
บางคนปากเหม็นเพียงเพราะแค่แปรงฟันไม่สะอาด แปรงไม่ถูกวิธี หรือแปรงฟันแล้วไม่แปรงลิ้น ซึ่งวิธแก้ปัญหาปากเหม็นแบบนี้ง่ายมาก แค่แปรงฟันให้ถูกวิธี ถ้าไม่รู้วิธีที่ถูกต้องเปิดตาม Youtube ได้ มีคลิปให้ดูเพียบ ส่วนการแปรงลิ้นไม่ใช่แค่แปรงแต่ปลายลิ้นหรือแปลงแบบรีบๆ แต่ควรแปลงให้ถึงโคนลิ้นข้างใน โดยทำการแลบลิ้นออกมาให้ยาวที่สุด และแปรงเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ควรแปรงฟันเบาๆอย่างน้อยวันละ 2 นาที ถ้าแปรงน้อยกว่านี้เกรงว่าจะไม่สะอาด
นอกจากนี้การเลือกยาสีฟันที่ใช้ก็เป็นสิ่งสำคัญ ยาสีฟันที่มีราคาถูกส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแป้งผสมเข้าไป เพื่ลดต้นทุกการผลิต และเมื่อเราเอาแป้งมาแปรงฟันมันก็จะไม่สะอาดเท่าที่ควร แถมยังอาจสะสมจนทำให้เกิดฟันผุได้ เพราะฉะนันเราควรเลือกยาสีฟันที่ดีที่ไม่ผสมแป้งเข้าไปจะดีที่สุด ยี่ห้อไหนก็ได้ อย่างยาสีฟันดอกบัวคู่ก็ดี หรือเป็นยี่ห้อ biotene ที่ขายใน Boots ก็ได้ เคยใช้อยู่ดีเหมือนกัน
2. ขัดฟันวันละ 1 ครั้ง
ใครคิดว่าตัวเองแปรงฟันได้สะอาดอย่าเพิ่งมั่นใจในฝีมือมากนักจนกว่าจะได้ลองขัดฟันด้วยไหมขัดฟัน แล้วจะพบความจริงที่ว่า การแปรงฟันอย่างเดียวอาจไม่สามารถทำความสะอาดได้อย่างเพียงพอ เพราะส่วนใหญ่เศษอาหารมันจะเข้าไปติดที่ซอกฟัน โดยเฉพาะฟันกรามติดง่ายมาก หากอยากแก้ปากเหม็น
ควรใช้ไหมขัดฟันขัดหลังจากแปรงฟันแล้ววันละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ฟันสะอาด ช่วยลดกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี อย่างผมเองตอนเย็นพอแปรงฟันเสร็จก็จะขัดฟัน 1 ครั้ง แล้วก็บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากอีกที แค่นี้ปากเราก็จะสะอาด หอมสดชื่น ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาว่าเราปากเหม็นอีกเลย
ควรใช้ไหมขัดฟันขัดหลังจากแปรงฟันแล้ววันละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ฟันสะอาด ช่วยลดกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี อย่างผมเองตอนเย็นพอแปรงฟันเสร็จก็จะขัดฟัน 1 ครั้ง แล้วก็บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากอีกที แค่นี้ปากเราก็จะสะอาด หอมสดชื่น ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาว่าเราปากเหม็นอีกเลย
3. ทำ Oil pulling ช่วยแก้ปากเหม็นได้
การทำ Oil pulling เป็นวิธีที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุความเหม็นในปากได้เป็นอย่างดี Oil pulling ก็คือ การเอาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมากลั้วคอ มาบ้วนปาก โดยทำนาน 15-20 นาที ทำวันละ 1 ครั้ง ทำ 3 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยให้ปัญหาแากเหม็นกลิ่นปากแรงของเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
4. ไปหาหมอฟันให้หมอตรวจให้
ปัญหาปากเหม็นส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ช่องปากและฟันมีปัญหา ฟันผุบ้าง หินปูนเกาะบ้าง เหงือกอักเสบบ้าง แต่ก็มีบางคนที่เกิดจากความผิดปกติอื่นๆ เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นโรคกรดไหลย้อน เป็นหินปูนบริเวณต่อมทอลซิน หรือแม้กระทั่งเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ลำไส้อักเสบ ก็สามารถทำให้ปากเราเหม็นได้เช่นกัน ซึ่งบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราปากเหม็นเพราะอะไร บางคนไปหาหมอฟันตรวจสุขภาพช่องปากและฟันแล้วก็ไม่เป็นอะไร ก็ต้องหาสาเหตุอื่นๆกันต่อไป เพราการที่มีกลิ่นปากย่อมมีสาเหตุมาจากอะไรสักอย่างหนึ่งแน่นอน ทางที่ดีเราควรไปหาหมอฟันอย่างน้อยๆ 6 เดือน/ครั้ง ไปตรวจฟันว่าฟันผุ หรือมีหินปูนเกาะเยอะหรือเปล่าจะได้แก้ไขทัน ถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน นอกจากปากจะเหม็นแล้ว อีกหน่อยอาจไม่เหลือฟันจริงๆไว้กินข้าวก็ได้ ต้องใส่ฟันปลอมตลอดรับรองว่าไม่สนุกแน่
เรื่องปัญหากลิ่นปากแรงถ้าปล่อยไว้เนิ่นนานย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเองเป็นแน่ บุคลิกภาพเสีย หล่อๆสวยๆมาแต่พอพูดแค่นั้นแหละกลิ่นโชยออกมาก็คงไม่มีใครอยากคุยด้วย นอกจากนี้ปัญหากลิ่นปากยังอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเป็นโรคอื่นๆได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกว่าปากเราเหม็น หรือมีคนมาเตือนเราก็อย่าโกรธเค้า รีบไปหาหมอฟันดีกว่า เดี๋ยวจะสายเกินแก้ เป็นมากๆขึ้นมาจะเสียเงินเสียทองแบบไม่รู้ตัวได้นะ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น